6 ก.พ. 2555

การสืบค้นสารสนเทศ

 ผู้ต้องการสืบค้นสารสนเทศจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ทุกระบบในปัจจุบัน ควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการสืบค้นข้อมูลและฐานข้อมูลก่อน รวมทั้งการสืบค้นข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ในรูปแบบอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
          การสืบค้นสารสนเทศ หมายถึง   กระบวนการในการค้นหาสารสนเทศที่ต้องการ   โดยใช้เครื่องมือสืบค้นรูปแบบต่างๆ การสืบค้นสารสนเทศ แบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ
                    1. การสืบค้นสารสนเทศด้วยระบบมือ (Manual System) เช่น บัตรรายการ บัตรดรรชนีวารสาร
                     2. การสืบค้นสารสนเทศด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System) เป็นการสืบค้นที่สามารถกระทำได้โดยผ่านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ได้แก่ ฐานข้อมูล หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ วารสารอิเล็กทรอนิกส์ และการสืบค้นสารสนเทศบนอินเทอร์เน็ต เป็นต้น


ฐานข้อมูล



ความหมาย
           ฐานข้อมูล คือ มวลสารสนเทศที่มีเนื้อหาเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน เก็บไว้อย่างเป็นระบบ ในสื่อที่ค้นหา และอ่านด้วยคอมพิวเตอร์
           ประโยชน์ฐานข้อมูลมีประโยชน์ดังนี้
                     1. จัดเก็บข้อมูลได้ปริมาณมาก
                     2. ประหยัดเวลาในการสืบค้นข้อมูล
                     3. สามารถปรับปรุงข้อมูลในฐานข้อมูลให้ถูกต้อง มีความเป็นปัจจุบัน
                     4. สามารถเผยแพร่สารสนเทศได้อย่างกว้างขวาง
ประเภทของฐานข้อมูล
           1. ฐานข้อมูลต้นเรื่อง (Full text Database) มีเนื้อหาเต็มตามเอกสารที่เป็นต้นฉบับ ตัวอย่างเช่น ฐานข้อมูล CHE PDF Dissertation Full Text ( E-Book ของสำนักวิทยบริการ) และฐานข้อมูล ACM Digital Library (Online Database ของสำนักวิทยบริการ )
           2. ฐานข้อมูลบรรณานุกรม (Bibliographic Database) มีข้อมูลชื่อเอกสาร และข้อมูลอื่นๆ ที่บ่งชี้ให้เห็นว่าเป็นเอกสารชิ้นนั้น อาจจะมีสาระสังเขป (Abstract) ด้วย ตัวอย่างเช่น ฐานข้อมูลรายการวัสดุสารสนเทศของห้องสมุด ฐานข้อมูล DAO เป็นต้น
          3. ธนาคารข้อมูล (Data Bank) มีข้อมูลสั้นๆ มักจะมีตัวเลขเป็นส่วนประกอบสำคัญ ได้แก่ สถิติ กราฟ ตาราง ตลอดจนข้อมูลดิบในทางวิทยาศาสตร์ ข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ข้อมูลประชากร ปริมาณการผลิตสินค้า ราคาผลผลิต การขาย รายได้ประชาชาติ การเงินการธนาคาร เป็นต้น

รูปแบบของฐานข้อมูล
           1. ฐานข้อมูลสำเร็จรูปในรูปแบบซีดีรอม (CD-ROM) เป็นฐานข้อมูลที่สร้างขึ้นเพื่อคนทั่วไป เนื้อหาไม่ลึกจนเป็นวิชาการในระดับสูง นิยมบรรจุข้อมูลลงในแผ่นซีดีรอมออกจำหน่ายแทนวัสดุตีพิมพ์ เช่น พจนานุกรม สารานุกรม และหนังสือสารคดีที่ข้อเท็จจริงต่าง ๆ เป็นต้น
           2. ฐานข้อมูลออนไลน์ (Online Database) หมายถึง ฐานข้อมูลใดๆ ที่ให้บริการโดยผ่านระบบออนไลน์ เช่น ฐานข้อมูลที่หน่วยงานหนึ่ง ๆ สร้างขึ้นเพื่อใช้ภายในหน่วยงานนั้น เช่น ฐานข้อมูลลูกค้าของธนาคาร ฐานข้อมูลการลงทะเบียน และฐานข้อมูลรายการวัสดุสารสนเทศของห้องสมุด เป็นต้น
ฐานข้อมูลออนไลน์ที่ควรรู้จัก
           1. กลุ่มการแพทย์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ การพยาบาล เช่น AIDSLINE, MEDLINE, TOXLINE, International Pharmaceutical Abstracts
           2. กลุ่มวิทยาศาสตร์ เช่น Science Direct, Chemical Abstracts, Applied Science & Technology Plus, Life Science
           3. กลุ่มวิศวกรรมไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ เช่น ACM, IEEE
           4. กลุ่มเกษตรศาสตร์ เช่น AGRIS, AGRICOLA
           5. กลุ่มธุรกิจ การบัญชี การจัดการ การตลาด การเงิน การประกันภัย เช่น ABI/Inform, Lexis/Nexis
          6. กลุ่มสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ เช่น Sociofile, ERIC
          7. กลุ่มที่มีเนื้อหาหลากหลายสาขา เช่น DAO Proquest, H.W. Wilson


การเลือกใช้ฐานข้อมูล
           การเข้าใช้ฐานข้อมูลจำเป็นต้องรู้จักเลือกฐานข้อมูลให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการ เพื่อการประหยัดทั้งเวลา ค่าใช้จ่าย และได้ผลการค้นจำนวนไม่มาก แต่ตรงกับความต้องการ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ในการเลือกใช้ฐานข้อมูลควรพิจารณาด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
           1. ขอบเขตเนื้อหา ต้องทราบว่าฐานข้อมูลแต่ละฐานมีเนื้อหาเกี่ยวกับสาขาวิชาใด แล้วพิจารณาว่าตรงกับความต้องการหรือไม่
          2. ปริมาณเนื้อหา มีมากพอ และอยู่ในรูปแบบที่ต้องการ ฐานข้อมูลที่มีขนาดเล็กเกินไปจะทำให้หาข้อมูลไม่พบ และต้องหาซ้ำหลายครั้งจากหลายฐานข้อมูล
          3. เนื้อหาทันสมัย ฐานข้อมูลที่ดีจะมีการปรับปรุง คือ นำข้อมูลใหม่ๆ เข้าฐานข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
          4. คุณภาพของข้อมูล ควรมีการแจ้งให้ทราบถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดทำฐานข้อมูล และนโยบายในการการเลือกข้อมูลมาลงในฐานข้อมูล
          5. เครื่องมือช่วยค้น พิจารณาว่าใช้ง่ายและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีคำแนะนำในการค้นที่เข้าใจง่าย
          6.  ค่าใช้จ่าย พิจารณาว่ามีความคุ้มค่ากับสารสนเทศที่ค้นได้
วิธีสืบค้นสารสนเทศจากฐานข้อมูล
           1. เตรียมคำค้นไว้หลายๆ คำ คำค้นดังกล่าวควรมีความเฉพาะเจาะจงตรงกับเรื่องที่ต้องการค้น ควรเตรียมคำค้นที่เป็นคำพ้องความหมาย ( Synonyms ) ไว้หลายๆ คำ เพื่อป้องกันปัญหาค้นได้ผลลัพธ์จำนวนน้อย
          2. ใช้คำค้นที่เฉพาะเจาะจงขึ้น ใช้ในกรณีที่ได้คำตอบมากเกินไป เช่น
                     เอดส์ - เอดส์ ป้องกัน - เอดส์ ป้องกัน ฟอกไต
                     กุ้ง - กุ้งกุลาดำ - กุ้งกุลาดำ เลี้ยง - กุ้งกุลาดำ เลี้ยง น้ำกร่อย
                                            ภาพประกอบ การใช้คำค้นที่เฉพาะเจาะจง

3. ใช้ตรรกะบูลีน (Boolean logic) คือ ใช้ตัวเชื่อม AND, OR, NOT เชื่อมคำค้น ซึ่งบางฐานข้อมูลอาจใช้เครื่องหมายอื่นๆ แทนตัวเชื่อม ฐานข้อมูลที่มีขนาดใหญ่มาก เช่น Google มักจะตั้ง AND เป็นค่าเริ่มต้นโดยปริยาย เพื่อป้องกันปัญหาการพบผลลัพธ์มากเกินไป การใช้ตัวเชื่อมในตรรกะบูลีน มีวิธีการดังนี้
ภาพประกอบ ตรรกะบูลีน



3.1 AND ใช้เชื่อมคำที่มีแนวคิดต่างกันเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้เอกสารที่มีทุกแนวคิดที่ระบุ ทำให้ได้เอกสารจำนวนลดลง เช่น
                                technology spending AND canada
                                กุ้งกุลาดำ เลี้ยง น้ำกร่อย (Google เพิ่ม AND อัตโนมัติ )
                                เครื่องแต่งกาย + ผู้หญิง
                                computer + graphic
                     3.2 OR ใช้เชื่อมคำที่มีแนวคิดเหมือนกันเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้แนวคิดใดแนวคิดหนึ่งที่ระบุไว้ ทำให้ได้เอกสารจำนวนเพิ่มขึ้น มีประโยชน์ในการค้นคำพ้องความหมาย (synonyms) และคำที่มีพจน์และกาลต่างกัน เช่น
                                personal computer OR pc
                                woman OR women OR lady OR ladies
                                เอดส์ OR ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
                                สตรี OR ผู้หญิง
                     3.3 NOT ใช้เชื่อมคำค้นเพื่อให้ได้ผลการค้นที่ไม่มีเอกสารที่มีคำค้นที่ระบุไว้หลังคำว่า NOT เช่น
                                software not spreadsheets
                                (สตรี OR ผู้หญิง ) NOT เด็ก
                                libraries not schools หรือ libraries – schools
           4. ใช้การตัดตัวสะกด (Truncation) คือ ใช้เครื่องหมายในการตัดคำ ( wildcards) ตามที่ฐานข้อมูลระบุ (เช่น * $ # ! และ ? ) ตัดตัวอักษรที่ต้นคำ กลางคำ หรือปลายคำ เช่น
                      library? = library administration, library automation, library service …
                      *compost = compost, cocompost, vermicompost …
           การตัดตัวสะกดนี้ ใช้ได้ดีกับภาษาอังกฤษเนื่องจากแต่ละคำ จะมีรากศัพท์ที่ขยายไปสู่คำที่มีความหมายใกล้เคียงกัน ทั้งยังมีพจน์ กาล และการสะกดต่างกัน เช่น
                     รากศัพท์ child* = child, children, childhood, childish, childlike…
                     พจน์ wom*n = woman, women
                     กาล g*ve = give, gave
                     การสะกด cent?? = center, centre


5. ใช้การระบุในเขตข้อมูล ระบุความต้องการให้ชัดเจน แคบ ชี้ชัดที่สุด โดยเลือกระบุในเขตข้อมูล ( field ) หรือตัวเลือกที่ฐานข้อมูลนั้นๆ กำหนดให้ เช่น ปีพิมพ์ ภาษาของเอกสาร ชนิดของเอกสาร แหล่งที่มีคำนั้นปรากฏ
ภาพประกอบ การระบุความต้องการในเขตข้อมูล


 6. ใช้รายการคำค้นที่ฐานข้อมูลนั้นจัดทำขึ้น (ศัพท์ควบคุม) เพื่อไล่เรียงดูว่า เรื่องที่เราต้องการค้น ควรใช้คำค้นใด รายการคำค้นดังกล่าว เรียกชื่อต่างๆ กัน เช่น Subject, Thesaurus, Index, Directory เป็นต้น

ภาพประกอบ การใช้ศัพท์ควบคุมประเภทหัวเรื่อง


 7. ใช้เทคนิคเฉพาะของฐานข้อมูลนั้น เช่น
                     7.1 การค้นแบบระบุตำแหน่ง ( Proximity search ) ซึ่งสามารถใช้ได้หลายลักษณะ
                                7.1.1 ADJ ( ย่อมาจาก adjacent) เป็นการเชื่อมคำค้นที่จะได้ผลลัพธ์ที่เฉพาะเจาะจงกว่าการใช้ AND โดยที่ผลการสืบค้นจะปรากฏคำทั้งสองอยู่ ในประโยคเดียวกัน และเรียงลำดับตามที่กำหนด เช่น Information ADJ Technology
                                7.1.2 NEAR เป็นการเชื่อมคำค้นที่ผลการสืบค้นจะปรากฏคำทั้งสองอยู่ห่างกันไม่เกินจำนวนคำที่กำหนดไว้ และไม่ต้องลำดับคำในผลการสืบค้น เช่น Information NEAR/3 Technology
                     7.2 การค้นทั้งวลีโดยใช้เครื่องหมายอัญประกาศ (“-” ) ใช้เมื่อต้องการค้นวลีที่เป็นชื่อเฉพาะ ประกอบด้วยคำหลายคำ และต้องเรียงลำดับตามนั้น เช่น ชื่อภาพยนตร์ ชื่อเพลง ชื่อสถานที่ การค้นทั้งวลี นี้จำเป็นอย่างยิ่งในการค้นวลีที่ประกอบด้วย คำที่ไม่ใช้ในการค้น (stop words, common words) จำนวนมาก เช่น “the king and i” คำที่ไม่ใช้ในการค้น คือ คำที่ปรากฏบ่อยๆ ในภาษาอังกฤษ ถ้าโปรแกรมสืบค้นต้องค้นคำเหล่านี้ทุกครั้งจะใช้เวลาในการค้นมาก ตัวอย่างของคำเหล่านี้ ได้แก่ a an the and or not to where from of on in I you we they it them เป็นต้น

ภาพประกอบ การค้นทั้งวลีโดยใช้เครื่องหมายอัญประกาศ

7.3 ฐานข้อมูลส่วนใหญ่จะไม่รับรู้ความแตกต่างระหว่างตัวพิมพ์ใหญ่และเล็ก (Case insensitive) แต่บางฐานข้อมูลออกแบบมาให้รับรู้ความแตกต่างนี้ ( Case insensitive) จึงระวังว่าต้องพิมพ์ตัวเชื่อมเป็นตัวพิมพ์ใหญ่เพื่อให้แตกต่างจากคำค้น
           8. ถ้ายังไม่พบคำตอบที่ต้องการให้ลองค้นโดยใช้ คำที่มีความหมายกว้างขึ้น (BT = Broader term) ความหมายเกี่ยวข้องที่อาจนึกไม่ถึง (RT= Related term) และความหมายแคบกว่า (NT= Narrower term) คำที่เตรียมไว้ในครั้งแรกหรือศัพท์หลัก ดังตัวอย่างของ BT, RT และ NT ในรายการคำค้นแบบศัพท์สัมพันธ์ ( Thesaurus )

ภาพประกอบ ศัพท์สัมพันธ์ ( Thesaurus )


ขอบคุณข้อมูลจาก:http://elearning.msu.ac.th/ge/ge51/0012003/page09_01.html



27 ธ.ค. 2554

อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (High Speed Internet)

การใช้อินเทอร์เน็ตแบบเดิมๆ (Dial Up)
การใช้อินเทอร์เน็ตโดยทั่วไป เราต่อสายโทรศัพท์เข้ากับโมเด็ม เข้า
ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ ในการใช้งาน เราจะต้องทำการต่อเชื่อมเข้าสู่
อินเทอร์เน็ต โดยการ กด Dial ต่อจากนั้น ก็ใช้อินเทอร์เน็ตได้ ความ
เร็วของอินเทอร์เน็ต ขึ้นอยู่กับโมเด็มด้วย ซึ่งโมเด็มความเร็วสูงสุด
ที่ใช้ก็เพียง 56 Kbps แต่ถ้าใช้งานเพียงเรียกดูข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต
(Downstream หรือ Download) ความเร็วดังกล่าว ก็นับว่า
ดีเพียงพอ แต่ถ้าจะดูภาพแบบ Video หรือ Movie Clip ก็ควร
จะต้องมีความเร็วสูงขึ้น และในกรณีที่ต้องการใช้แบบ Upstream
หรือ Upload ก็ควรจะใช้อินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วสูงขึ้น
อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (High Speed Internet หรือ
Broad Band Internet)

บรอดแบรนด์ คือเทคโนโลยีการับ-ส่งข้อมูลที่เร็วขึ้น โดบใช้เทคนิค
Wide Band ซึ่งเมื่อมี Bandwidth มาก ก็จะสามารถส่งข้อมูล
ผ่านออกไปในปริมาณที่มากขึ้น

ในอดีตนั้น การรับ-ส่งข้อมูล ใชะระบบ Base Band ที่มีช่องความถี่
แคบๆเพียง 4 กิโลเฮิรตซ์ ซึ่งทำให้เกิดข้อจกัดในการรับ-ส่งข้อมูล
ของโมเด็มธรรมดาเพียง 56 kbps เท่านั้น



สำหรับ Broad Band ในปัจจุบัน ใช้ความถี่ได้กว้างมาก ในช่วง
25.875 ถึง 1,099.6875 กิโลเฮิรตซ์
ระบบ ADSL (Asymmetric Digital Service Line)
ADSL เป็นเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่สามารถรับและส่งข้อมูลด้วยความ
เร็วสูง การรับข้อมูล (Downstream) จะมีความเร็วได้สูงถึง 8 เมกะบิต
ต่อวินาที (8 Mbps) และการส่งข้อมูล (Upstream) มีความเร็วสูง
สุดที่ 1 Mbps แต่การให้บริการในปัจจุบัน อาจจะมีความเร็วด้านการ
ส่งข้อมูลได้สูงสุด 512 kbps

ADSL ดีอย่างไร1. มีความเร็วสูงกว่าระบบเดิมที่ใช้โมเด็มมาก ทำให้ดูข้อมูลใน
อินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะที่มีรูปภาพมากๆ หรือมีภาพ
Video Clip ทำให้โหลดได้เร็วและภาพไม่กระตุก
2. สามารถติดต่อเข้าอินเทอร์เน็ตได้ทันที โดยไม่ต้องหมุนโทรศัพท์
และสามารถใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง (Always On)
3. บริการ ADSL สามารถรับข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงกว่าด้านการ
ส่งข้อมูล เพราะได้ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับการใช้งานส่วนใหญ่
ที่ผู้ใช้มักจะเรียกดูข้อมูล ภาพ และเสียง ส่วนการส่งข้อมูล เช่น การส่ง
อีเมล์ การ Update ข้อมูล Edit ข้อมูลในเว็บไซต์นั้น จะมีความเร็ว
ต่ำกว่า และอาจจะสูงสุดที่ 512 kbps แต่ก็นับว่ามากพอ

4. เมื่อติดตั้งระบบ ADSL แล้ว จะสามารถใช้งานโทรศัพท์หรือ
โทรสารได้ตามปกติ พร้อมกับการใช้งานอินเทอร์เน็ต บนคู่สาย หรือ
ที่หมายเลขโทรศัพท์เดียวกัน





5. ผู้ใช้งานระบบ ADSL จะต้องเสียค่าบริการรายเดือนแบบเหมา
จ่าย เช่นในปัจจุบัน ที่ความเร็ว 4 Mbps ค่าบริการรายเดือนของ
True เดือนละ 590 บาท

ระบบ ADSL2+
ADSL2+ เป็นระบบที่พัฒนาต่อมาจาก ADSL เมื่อปี ค.ศ. 2003
ซึ่งสามารถใช้งานร่วมกับระบบเก่าได้ โดยระบบ ADSL2+ จะมี
ความเร็วสูงถึง 24 เมกะบิตต่อวินาที   หรือเร็วกว่า ADSL ถึง 3 เท่า
ในระยะทาง 1 กิโลเมตร สำหรับการใช้งานแบบ Downstream
หรือ Download และถ้าระยะทางเพิ่มมากขึ้น ความเร็วก็จะลดต่ำลง
เรื่อยๆ จนใกล้กับระบบ ADSL   สำหรับการใช้งาน ADSL2+
แบบ Upstream หรือ Upload นั้น ความเร็วสูงสุดได้ 1 เมกะบิต
ต่อวินาที เท่ากับระบบ ADSL

ความเร็วของอินเทอร์เน็ตกับระยะทางจากชุมสาย
เนื่องจากคลื่นความถี่สูงๆจะเดินทางได้ไม่ไกลมาก คือมีอัตราการลดทอน
ดังนั้นทำให้จำนวนช่องสัญญาณของระบบ ADSL ที่มีอยู่ถึง 255 ช่อง
ไม่สามารถใช้งานได้ทั้งหมดเมื่อมีระยะทางไกลขึ้น โดยเฉพาะช่องที่
มีความถี่สูงๆ จึงทำให้ ADSL มีความเร็วทางด้านการใช้งานแบบ
Downstream / Download ลดลง เมื่อผู้ใช้อยู่ห่างจากชุมสายมาก
ขึ้น 
การทดสอบความเร็ว(Speed Test)
ท่านสามารถทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตได้โดยเข้าไปที่
www.adslthailand.com แล้วคลิกที่ Speed Test
จากนั้น ก็จะทราบ Bandwidth ตามตัวอย่าง ดังนี้





ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์และกฎหมายลิขสิทธิ์

ลิขสิทธิ์คืออะไร  : ลิขสิทธิ์ เป็นทรัพย์สินทางปัญญาอย่างหนึ่ง ที่กฎหมายให้ความคุ้มครองโดยให้เจ้าของลิชสิทธิ์ถือสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะกระทำการใดๆ เกี่ยวกับงานสร้างสรรค์ที่ตนได้กระทำขึ้น

งานอันมีลิขสิทธิ์  : งานสร้างสรรค์ที่จะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิชสิทธิ์ต้องเป็นงานในสาขา วรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง งานแพร่เสียงแพร่าภาพ รวมถึงงานอื่นๆ ในแผนกวรรณคดีวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ งานเหล่านี้ถือเป็นผลงานที่เกิดจากการใช้สติปัญญา ความรู้ความสามารถ และความวิริยะอุตสาหะ ในการสร้างสรรค์งานให้เกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ

การได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ : สิทธิในลิขสิทธิ์เกิดขึ้นทันที นับแต่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ผลงานออกมาโดยไม่ต้องจดทะเบียน หรือผ่านพิธีการใดๆ

การคุ้มครองลิขสิทธิ์ : ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียว ในการใช้ประโยชน์จากผลงานสร้างสรรค์ของตน ในการทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชน รวมทั้งสิทธิในการให้เช่า โดยทั่วไปอายุการคุ้มครองสิทธิจะมีผลเกิดขึ้นทันทีที่มีการสร้างสรรค์ผลงาน โดยความคุ้มครองนี้จะมีตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์และคุ้มครองต่อไปนี้อีก 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์เสียชีวิต

ประโยชน์ต่อผู้บริโภค : การคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิในผลงานลิขสิทธิ์ มีผลให้เกิดแรงจูงใจแก่ผู้สร้างสรรค์ผลงานที่จะสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณค่า ทางวรรณกรรมและศิลปกรรมออกสู่ตลาดส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับความรู้ ความบันเทิง และได้ใช้ผลงานที่มีคุณภาพ

พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์

             กฎหมายลิขสิทธิ์มีวัตถุประสงค์ให้ความคุ้มครอง ป้องกันผลประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจและทางศีลธรรม ซึ่งบุคคลพึงได้รับจากผลงานสร้างสรรค์อันเกิดจากความนึกคิด และสติปัญญาของตน นอกจากนี้ยังมุ่งที่จะสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงาน กล่าวคือ เมื่อผู้สร้างสรรค์ได้รับผลตอบแทนจากหยาดเหงื่อแรงกายและสติปัญญา ของตน ก็ย่อมจะเกิดกำลังใจที่จะคิดค้นสร้างสรรค์และเผยแพร่ผลงานให้แพร่หลายออกไปมากขิ่งขึ้นอันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี การกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาสติปัญญาของคนในชาติ เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต

            ประเทศไทยได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 เพื่อใช้บังคับแทน พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 โดยมีผลบังคับใช้วันที่ 21 มีนาคม 2538 พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ให้ความคุ้มครองต่อโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยจัดให้เป็นผลงานทางวรรณการประเภทหนึ่ง

             งานที่ได้จัดทำขึ้นก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และเป็นงานที่ได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้ จะได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้

              แม้ว่าประเทศไทยจะมีกฎหมายคุ้มครองลิขสิทธิ์มาเป็นระยะเวลานานแล้ว แต่ความเข้าใจของประชาชนโดยทั่วไปในเรื่องลิขสิทธิ์ยังไม่ชัดเจน ความตระหนัก รู้ถึงความสำคัญขงการคุ้มครองลิขสิทธิ์ และทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่ยั่งยืนกว่าการปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ

การละเมิดลิขสิทธิ์

การละเมิดลิขสิทธิ์โดยตรง : คือ การทำซ้ำ ดัดแปลง เผยแพร่โปรแกรมคอมพิวเตอร์แก่สาธารณชน รวมทั้งการนำต้นฉบับหรือสำเนางานดังกล่าวออกให้เช่า โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
การละเมิดลิขสิทธิ์โดยอ้อม :  คือ การกระทำทางการค้า หรือการกระทำที่มีส่วนสนับสนุนให้เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าวข้างต้นโดยผู้กระทำรู้อยู่แล้ว ว่างานใดได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น แต่ก็ยังกระทำเพื่อหากำไรจากงานนั้น ได้แก่ การขาย มีไว้เพื่อขาย ให้เช่า เสนอให้เช่า ให้เช่าซื้อ เสนอให้เช่าซื้อ เผยแพร่ต่อสาธารณชน แจกจ่ายในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าของลิขสิทธิ์และนำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร

บทกำหนดโทษ

การละเมิดลิขสิทธิ์โดยตรง :  มีโทษปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หากเป็นการกระทำเพื่อการค้า มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 4 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 800,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
การละเมิดลิขสิทธิ์โดยอ้อม : มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 100,000 บาท หากเป็นการกระทำเพื่อการค้า มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 บาท ถึง 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ใดกระทำความผิดต้องระวางโทษตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฉบับนี้ เมื่อพ้นโทษแล้วยังไม่ครบกำหนดห้าปีกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัตินี้อีก จะต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

กรณีที่นิติบุคคลกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ถือว่ากรรมการหรือผู้จัดการทุกคนของนิติบุคคลนั้นเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดกับนิติบุคคลนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ามิได้รู้เห็นหรือยินยอมด้วย

ค่าปรับที่ได้มีการชำระตามคำพิพากษานั้น ครึ่งหนึ่งจะตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์อย่าวไรก็ดีการได้รับค่าปรับดังกล่าวไม่กระทบต่อสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์ ที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายในทางแพ่งสำหรับส่วนที่เกินจำนวนเงินค่าปรับที่เจ้าของลิขสิทธิ์ได้รับไว้แล้วนั้น

ทำไมต้องให้ความสำคัญกับการละเมิดลิขสิทธิ์

              การละเมิดลิขสิทธิ์เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย นอกจากความเสี่ยงทางด้านกฎหมายที่ท่านอาจได้รับแล้ว ธุรกิจของท่านยังสูญเสียชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ ซึ่งทำให้สูญเสียรายได้และดำเนินธุรกินได้ยากขึ้น  นอกจากนี้ ท่านยังต้องเสี่ยงกับการใช้ซอฟต์แวร์ที่อาจสร้างปัญหาให้กับข้อมูลทางการค้ามีค่าของท่าน ไม่ได้รับการสนับสนุน ด้านเทคนิค และข่าวสารอันเป็นประโยชน์ต่อท่านและธุรกิจของท่าน  การสนับสนุนการละเมิดลิขสิทธิ์ เป็นส่วนหนึ่งที่หยุดยั้งการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรม ไอทีซึ่งเป็น อุตสาหกรรมที่มีนาคต อันจะนำมาซึ่งรายได้ให้กับประเทศไทย และมีการพัฒนาความรู้ด้านไอทีให้กับบุคลากรของประเทศ ทำให้สามารถแข่งขันได้ในโลกการค้าโลกาภิวัตน์

มูลค่าการละเมิดลิขสิทธิ์

              ในปี 2542 สถิติการละเมิดลิขสิทธิ์ในประเทศไทย มีอัตราสูงถึงร้อยละ 81 ทำให้อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์สูญเสียรายได้มากกว่า 3,200 ล้านบาท ความสูญเสีย ดังกล่าวไม่เพียงส่งผลกระทบต่อ อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ แต่ยังส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยอีกด้วย การละเมิดลิขสิทธิ์ ซอฟต์แวร์ เป็นอุปสรรค ที่บั่นทอนการพัฒนาวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆในภูมิภาค การลดอัตรา การจ้างงาน การพัฒนาบุคลากร การลงทุน และทำให้รัฐบาลขาดรายได้จากการเก็บภาษีอันจะ นำมาพัฒนาประเทศได้อีกด้วย อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ เป็นอุตสาหกรรมที่มีอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการส่งเสริมให้คนไทยใช้ความสามารถในการคิดค้น และเพิ่มศักย์ภาพในการพัฒนาซอฟต์แวร์ซึ่งเป็นการพัฒนาคุณภาพของประชาชน บุคลากรรุ่นใหม่ที่กำลังก้าวเข้ามาสู่ตลาดแรงงานจะมีภาคธุรกิจรองรับ หากแต่การละเมิดลิขสิทธิ์เป้นปัญหาสำคัญที่ทำให้ความเจริญเติบโตเหล่านี้หยุดยั้งไป เนื่องจากธุรกิจที่ซื่อสัตย์ไม่สามารถแข่งขันได้ และขาดกำลังใจในการพัฒนาธุรกิจของตน

การกระทำที่ถูกกฎหมายทำได้อย่างไร

        ซื้อลิขสิทธิ์ของซอฟต์แวร์ที่ท่านใช้งานอยู่ ทุกซอฟต์แวร์ที่มีการใช้งานต้องมีลิขสิทธิ์เสมอ

ติดตั้งและใช้งานลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ 1 ชุดในคอมพิวเตอร์เพียง 1 เครื่องเท่านั้น
อย่าทำสำเนาโปรแกรมเพื่อการสำรองมากกว่า 1 สำเนา
อย่าให้ผู้ใดขอยืมซอฟต์แวร์ของท่านไปติดตั้ง

ทราบได้อย่างไรว่าซอฟต์แวร์ที่ใช้มีลิขสิทธิ์ถูกต้องหรือไม่

             เมื่อท่านซื้อซอฟต์แวร์มาใช้งาน ท่านควรได้รับใบอนุญาตการใช้งานซึ่งระบุสิทธิที่เจ้าของลิขสิทธิ์อนุญาตให้ท่านใช้งานซอฟต์แวร์เหล่านี้ได้ รวมทั้งระบุขอบข่ายของการใช้งานอีกด้วย เช่น ซอฟต์แวร์บางประเภทอาจอนุญาตให้ท่านใช้งานสำเนาที่สองสำหรับการทำงานที่บ้านได้ท่านควรอ่านเอกสาร เหล่านี้ให้ละเอียดเพื่อประโยชน์ของท่านเอง และเก็บเอกสารเหล่านี้ไว้เป็นหลักฐานในการมีลิขสิทธิ์ที่ถูกต้องเสมอ

ข้อสังเกตของซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์

ซอฟต์แวร์ราคาถูกจนไม่น่าเชื่อ
โปรแกรมนั้นอยู่ในแผ่น CD-ROM ที่บรรจะซอฟต์แวร์หลายชนิดซึ่งมักเป็นผลงานจากผู้ผลิตซอฟต์แวร์หลายบริษัท
ซอฟต์แวร์จำหน่ายโดยบรรจุในกล่องพลาสติกใสโดยไม่มีกล่องบรรจุภัณฑ์
ไม่มีเอกสารอนุญาตการใช้งาน หรือคู่มือการใช้งาน

ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายลิขสิทธิ์ได้ที่

สำนักลิขสิทธิ์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา  Tel.547-4633,547-4704   www.ipthailand.org

แจ้งการละเมิดลิขสิทธิ์ได้ที่  Honesty Line : 632-0456








การจัดการฐานข้อมูลและการสืบค้นสารสนเทศ

เนื้อหาประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้

-การจัดการฐานข้อมูล
-การสืบค้นสารสนเทศ
-สถาบันบริการสารสนเทศ
การจัดการฐานข้อมูล


     ฐานข้อมูล (database) หมายถึง กลุ่มของข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมไว้ โดยมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เพื่อลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลและเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้ที่ศูนย์กลาง เพื่อที่จะนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ร่วมกันการจัดการฐานข้อมูล(Database Management) คือ การบริหารแหล่งข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมไว้ที่ศูนย์กลาง เพื่อตอบสนองต่อการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพและลดการซ้ำซ้อนของข้อมูล รวมทั้งลดความขัดแย้งของข้อมูลที่เกิดขึ้นภายในองค์กรด้วย
ตัวอย่าง


ตัวอย่าง : การจัดระบบฐานข้อมูลที่ใช้ในปัจจุบัน เช่น ฐานข้อมูลผู้ใช้โทรศัพท์ ฐานข้อมูลหนังสือ-วารสารในห้องสมุด ฐานข้อมูลนักศึกษา ฐานข้อมูลประชากร ฐานข้อมูลศิลปวัฒนธรรมไทยและฐานข้อมูลงานวิจัย เป็นต้น 
การจัดการฐานข้อมูลต้องอาศัยโปรแกรมที่ทำหน้าที่ในการกำหนดลักษณะข้อมูลที่จะเก็บไว้ในฐานข้อมูล อำนวยความสะดวกในการบันทึกข้อมูลลงในฐานข้อมูล กำหนดผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ฐานข้อมูลได้ พร้อมกับกำหนดด้วยว่าให้ใช้ได้แบบใด เช่น ให้อ่านข้อมูลได้อย่าง 
เดียวหรือให้แก้ไขข้อมูลได้ด้วย นอกจากนั้นยังอำนวยความสะดวกในการค้นหาข้อมูล การแก้ไขปรับปรุงข้อมูล ตลอดจนการจัดทำข้อมูลสำรองด้วย โดยอาศัยโปรแกรมที่เรียกว่า


ระบบการจัดการฐานข้อมูล(Database Management System: DBMS) ซึ่งโปรแกรมที่ได้รับความนิยมในการจัดการฐานข้อมูล ได้แก่ Microsoft Access, Oracle, Informix, dBase, FoxPro, และ Paradox เป็นต้น


1)จัดเก็บและบันทึกข้อมูล (Data Storage)
2)ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล (Reduce Data Redundancy)
3) สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ (Data Concurrency)
4) ลดความขัดแย้งหรือแตกต่างกันของข้อมูล (Reduce Data Inconsistency)
5) ป้องกันการแก้ไขข้อมูลต่างๆ (Protect Data Editing) 
6) ความถูกต้องของข้อมูลมีมากขึ้น (Data Accuracy)
7) สะดวกในการสืบค้นข้อมูล (Data Retrieval or Query 
8) ป้องกันการสูญหายของข้อมูล หรือฐานข้อมูลถูกทำลาย (Data Security)
9) เกิดการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศ (Apply Information System) 
(File Structure) โครงสร้างข้อมูล หมายถึง ลักษณะการจัดแบ่งพิกัดต่าง ๆ ของข้อมูลสำหรับแต่ละระเบียน (Record) ในแฟ้มข้อมูลเพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถรับไปประมวลผลได้ ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้


1) บิท (Bit : Binary Digit) บิท (Bit : Binary Digit) คือ หน่วยของข้อมูลที่เล็กที่สุดที่เก็บอยู่ในหน่วยความจำภายในคอมพิวเตอร์ ซึ่ง Bit จะแทนด้วยตัวเลขหนึ่งตัว คือ 0 หรือ 1 อย่างใดอย่างหนึ่ง เรียกตัวเลข 0 หรือ 1 ว่าเป็น บิท 1 บิท

2)ไบท์ (Byte) หรือ ตัวอักขระ (Character) ไบท์ (Byte) หรือ ตัวอักขระ (Character) คือ หน่วยของข้อมูลที่นำบิทหลายๆบิทมารวมกัน แทนตัวอักษรแต่ละตัว เช่น A, B, …, Z, 0, 1, 2, … ,9 และสัญลักษณ์พิเศษอื่นๆ เช่น $, &, +, -, *, / ฯลฯ โดยตัวอักษร 1 ตัวจะแทนด้วยบิท 7 หรือ 8 บิท (1 บิท แทนด้วยตัวอักษร 7 หรือ 8 บิท) ซึ่งตัวอักษรแต่ละตัวจะเรียกว่า ไบท์ เช่น ตัว A เมื่อเก็บอยู่ในคอมพิวเตอร์จะเก็บเป็น 1000001 ส่วนตัว B จะเก็บเป็น 1000010 เป็นต้น


3) เขตข้อมูล (Field) หรือคำ (Word) เขตข้อมูล (Field) หรือคำ (Word) คือ หน่วยของข้อมูลที่เกิดจากการนำตัวอักขระหลายๆตัวมารวมกัน เป็นคำที่มีความหมาย

4) ระเบียน (Record) ระเบียน (Record) คือ หน่วยของข้อมูลที่มีการนำเขตข้อมูลหลายๆ เขตข้อมูล ที่มีความสัมพันธ์กันมารวมกัน หรือค่าของข้อมูลในแต่ละเขตข้อมูล

5) แฟ้มข้อมูล (File) แฟ้มข้อมูล (File) คือ หน่วยของข้อมูลที่มีการนำระเบียนหลายๆ ระเบียนที่มีความสัมพันธ์กันมารวมกัน

โดยทั่วไป การออกแบบฐานข้อมูลเพื่อนำมาใช้งานภายในองค์กรสามารถจำแนกได้ 2 วิธี คือ วิธีอุปนัย (Inductive approcah) และวิธีนิรนัย (Deductive approach)


โดยทั่วไป การออกแบบฐานข้อมูลเพื่อนำมาใช้งานภายในองค์กรสามารถจำแนกได้ 2 วิธี คือ วิธีอุปนัย (Inductive approcah) และวิธีนิรนัย (Deductive approach)


1) วิธีอุปนัย การออกแบบฐานข้อมูลด้วยวิธีอุปนัย เป็นการออกแบบฐานข้อมูลจากล่างขึ้นบน (Bottom-up design) ด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีการใช้งานอยู่แล้วภายในหน่วยงานต่าง ๆ ขององค์กร 
มาเชื่อมโยงเข้าด้วยกันเพื่อจัดทำเป็นระบบฐานข้อมูลขององค์กร ซึ่งมีข้อจำกัด คือ การนำกรรมวิธีย่อย ๆ จากการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ มารวมเข้าด้วยกันเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก และต้องใช้เวลามากจึงจะสามารถออกแบบและสร้างระบบฐานข้อมูลที่สมบูรณ์ได้

2) วิธีนิรนัย การออกแบบฐานข้อมูลด้วยวิธีนิรนัย เป็นการออกแบบฐานข้อมูลจากบนลงล่าง (Top-down design) เป็นการออกแบบฐานข้อมูลด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน ขั้นตอนการทำงานของหน่วยงาน ต่าง ๆ ภายในองค์กร

และความต้องการใช้งานฐานข้อมูล จากการสังเกตการณ์ สอบถาม หรือสัมภาษณ์บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานฐานข้อมูล ตลอดจนรวบรวมข้อมูลจากแบบฟอร์มต่าง ๆ ที่มีใช้อยู่ภายในหน่วยงาน เพื่อนำมาออกแบบโครงสร้างฐานข้อมูลขององค์กร ซึ่งมีข้อจำกัดใน

การออกแบบ คือ บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานฐานข้อมูลต้องให้ความสำคัญและความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล จึงจะทำให้ได้ระบบฐานข้อมูลที่ถูกต้องและครอบคลุมระบบงานต่าง ๆ ภายในองค์กร


บุคลากรที่ทำหน้าที่ในการออกแบบฐานข้อมูล 3 ฝ่าย คือ ผู้บริหารฐานข้อมูล (Data Base Administrator : DBA) และผู้บริหารข้อมูล (Data Administrator : DA) นักวิเคราะห์ระบบ (Systems Analysts) นักเขียนโปรแกรม


1) ผู้บริหารฐานข้อมูลและผู้บริหารข้อมูล ผู้บริหารฐานข้อมูลเป็นบุคคลที่ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการ ควบคุม กำหนดนโยบาย มาตรการ และมาตรฐานของระบบฐานข้อมูลทั้งหมดภายใน 
องค์กร ตัวอย่างเช่น กำหนดรายละเอียดและวิธีการจัดเก็บข้อมูล กำหนดควบคุมการใช้งานฐานข้อมูล กำหนดระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล กำหนดระบบสำรองข้อมูล และกำหนดระบบการกู้คืน 
ข้อมูล เป็นต้น ตลอดจนทำหน้าที่ประสานงานกับผู้ใช้ นักวิเคราะห์ระบบ และนักเขียนโปรแกรม

2) นักวิเคราะห์ระบบและนักเขียนโปรแกรม นักวิเคราะห์ระบบมีหน้าที่รับผิดชอบในการวิเคราะห์และออกแบบระบบฐานข้อมูล ดังนั้นจึงต้องทำการศึกษาและทำความเข้าใจในระบบงานที่องค์กรต้องการ รวมทั้งต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการทำงานโดยรวมของทั้งฮาร์ดแวร์ 
นักเขียนโปรแกรมมีหน้าที่รับผิดชอบในการเขียนโปรแกรมประยุกต์เพื่อการใช้งานในลักษณะต่าง ๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น การเก็บบันทึกข้อมูล และการเรียกใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูล เป็นต้น

3) ผู้ใช้ ผู้ใช้เป็นบุคคลที่ใช้ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูล ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของระบบฐานข้อมูล คือ ตอบสนองความต้องการในการใช้งานของผู้ใช้ ดังนั้นในการออกแบบระบบฐานข้อมูลจึงจำเป็นต้องมีผู้ใช้เข้าร่วมอยู่ในกลุ่มบุคลากรที่ทำหน้าที่ออกแบบฐานข้อมูลด้วย


คุณสมบัติของฐานข้อมูลที่ดี
1)เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราสนใจจะทราบ
2) สมบูรณ์ (Complete)
3) เป็นปัจจุบัน (Update)
4) ถูกต้อง (Accuracy)
5) ค้นหาได้สะดวก (Retrieve or Query)

การประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลในงานต่างๆ
1) การประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลในงานบุคลากร เนื่องจากบุคคลเป็นทรัพยากรที่สำคัญต่อการดำเนินงานและปฏิบัติงานขององค์กร ในการเก็บบันทึกประวัติบุคลากรของหน่วยงานแต่ละแห่ง ประวัติของบุคคลหนึ่งคนจึงประกอบด้วย

2) การประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลในงานทะเบียนนักศึกษา การเก็บบันทึกข้อมูลในเรื่องเกี่ยวกับ ใบลงทะเบียนของนักศึกษาในสถานศึกษาแต่ละแห่งประกอบด้วย


3) การประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลในงานซื้อขายสินค้าในห้างสรรพสินค้า การประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลในงานต่าง ๆ ได้แก่ การขายปลีก ระบบบัญชีเจ้าหนี้ และระบบบัญชีสินค้าคงคลัง เป็นต้น ซึ่งการประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลกับการขายปลีก ทำให้องค์กรสามารถออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง ทำให้สามารถจัดทำรายงานการขายประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ


การสืบค้นสารสนเทศในที่นี้จะกล่าวถึงฐานข้อมูลที่มีให้บริการในสำนักวิทยบริการของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต การสืบค้นสารสนเทศที่เป็นบัตรรายการผ่านระบบเครือข่าย ทั้งของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต และจากสถาบันการศึกษาอื่นๆ


1. บริการสืบค้นบัตรรายการผ่านระบบเครือข่ายบริการฐานข้อมูลระบบห้องสมุดอัตโนมัติ (VTLS : Virginia Technology Library System) ของสถาบันราชภัฎสวนดุสิต เป็นบริการสืบค้นบัตรรายการผ่านระบบเครือข่าย จากฐานข้อมูลหนังสือ และวารสารที่มีอยู่ในสำนักวิทยบริการมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต

สถาบันบริการสารสนเทศ คือ แหล่งรวบรวมสารสนเทศต่างๆ ซึ่งทำหน้าที่จัดเก็บสารสนเทศอย่างมีระบบ ให้บริการและเผยแพร่อย่างมีประสิทธิภาพ
สารสนเทศได้

ประเภทของสถาบันบริการสารสนเทศจำแนกสถาบันบริการสารสนเทศตามขอบเขตหน้าที่และวัตถุประสงค์ในการให้บริการ เป็น 9 ประเภท ได้แก่


1) ห้องสมุด (Library) เป็นสถาบันบริการสารสนเทศที่เก่าแก่ที่สุดที่รวบรวมทรัพยากรสารสนเทศทุกสาขาวิชาและสื่อทุกประเภท มีทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโสตทัศนวัสดุ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หน้าที่หลักในการให้บริการ คือ บริการยืม- คืน บริการตอบคำถามและช่วยค้นคว้า และบริการทรัพยากรสารสนเทศเพื่อการศึกษาและเพื่อความบันเทิง เป็นต้น 
ห้องสมุดแบ่งออกเป็นห้องสมุดโรงเรียน (School Library) ได้แก่ โรงเรียนอนุบาล โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ทำหน้าที่ให้บริการทรัพยากรสารสนเทศ ทั้งสื่อการศึกษาค้นคว้าและสื่อการเรียนการสอนให้แก่ครูและนักเรียน
ห้องสมุดวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย (Academic Library) เป็นห้องสมุดที่ตั้งอยู่ในสถาบันอุดมศึกษา มีวัตถุประสงค์ในการให้บริการทรัพยากรสารสนเทศ เช่นเดียวกับห้องสมุด 
ห้องสมุดประชาชน (Public Library) เป็นห้องสมุดที่ตั้งขึ้นเพื่อบริการประชาชนในชุมชนต่างๆ ทุกระดับความรู้ ทุกเพศทุกวัย และทุกอาชีพ ให้บริการส่งเสริมการอ่านและการค้นคว้าตลอดชีวิต เป็นเสมือนวิทยาลัยในชุมชน 
หอสมุดแห่งชาติ (National Library) ทำหน้าที่เก็บรวบรวมสะสมและรักษาทรัพยากรสารสนเทศของชาติไว้ รวมทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ทุกประเภทที่ผลิตในประเทศ จะต้องส่งให้หอสมุดแห่งชาติตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ ทำการรวบรวมจัดทำบรรณานุกรมแห่งชาติ กำหนดเลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือ


2) ศูนย์เอกสารหรือศูนย์สารสนเทศ (Documentation Center / Information Center) เป็นแหล่งจัดเก็บรวบรวมสารสนเทศเฉพาะเรื่อง เฉพาะสาขาวิชา เพื่อการค้นคว้าวิจัย และเพื่อการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่มีศูนย์สารสนเทศนั้นๆ โดยตรง

3) ศูนย์ข้อมูล (Data Center) คือ แหล่งรวบรวมข้อมูลและบริการข้อมูลตัวเลขสถิติต่างๆ งานวิจัยต่างๆ

4) หน่วยงานสถิติ (Statistical Office) ทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูล เก็บสถิติและเผยแพร่ข้อมูลของหน่วยงานนั้นๆ เช่น ศูนย์สถิติการเกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ศูนย์สถิติการพาณิชย์ ของกระทรวงพาณิชย์ และกองสถิติสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข

5) ศูนย์วิเคราะห์สารสนเทศ (Information Analysis Center) ทำหน้าที่รวบรวมและให้บริการสารสนเทศเฉพาะวิชา โดยการนำมาทำการวิเคราะห์ ประเมิน สรุปย่อ และจัดเก็บในลักษณะของแฟ้มข้อมูล

6) ศูนย์ประมวลและแจกจ่ายสารสนเทศ (Information Clearing House) ทำหน้าที่รวบรวมจัดเก็บและผลิตทรัพยากรสารสนเทศในรูปสื่อต่างๆ นอกจากนั้นยังทำหน้าที่ติดต่อขอทรัพยากรสารสนเทศในสาขาที่เกี่ยวข้องจากผู้ผลิต เพื่อรวบรวมให้เป็นระบบ สะดวกในการค้นคว้า และการแนะนำแหล่งข้อมูล


8) หอจดหมายเหตุ (Archive) ทำหน้าที่จัดเก็บเอกสารทางราชการและเอกสารทางประวัติศาสตร์ของรัฐบาล เช่น ระเบียบข้อบังคับ คำสั่ง หนังสือโต้ตอบ บันทึกรายงาน แบบพิมพ์ แผนที่ แผนผัง และภาพถ่าย เป็นต้น เพื่อใช้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในการศึกษาค้นคว้าและวิจัย

9) สถาบันบริการสารสนเทศเชิงพาณิชย์ (Commercial Information Service Center) อาจจะเป็นห้องสมุดหรือศูนย์ข้อมูลที่จัดให้มีบริการสารสนเทศเชิงพาณิชย์ เช่นการค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ต

หน้าที่ของสถาบันบริการสารสนเทศ
1) รวบรวมทรัพยากรสารสนเทศทุกรูปแบบที่มีคุณภาพ ทันสมัย และมีประโยชน์กับสาขาวิชาที่สถาบันบริการสารสนเทศนั้น ๆ


2) จัดเก็บข้อมูลอย่างมีระบบด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการจัดเก็บและการให้บริการ
3) ผลิตทรัพยากรสารสนเทศ เพื่อบริการ จำหน่ายจ่ายแจก แลกเปลี่ยนกับสถาบันสารสนเทศอื่นๆ และเพื่อการประชาสัมพันธ์

4) จัดทำฐานข้อมูลและมีบริการค้นคว้าสารสนเทศ
5) จัดสถานที่อ่านให้เหมาะสมเป็นสัดส่วน ปรับอุณหภูมิและแสงสว่างที่เหมาะกับการศึกษาค้นคว้าวิจัย

6) จัดให้มีศูนย์แนะนำแหล่งสารสนเทศ โดยการรวบรวมรายชื่อแหล่งสารสนเทศทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อแนะนำให้ผู้ใช้ได้ค้นคว้าแหล่งสารสนเทศอื่นๆได้อีก
7) จัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านในรูปแบบต่างๆ

8) จัดบริการพิเศษต่างๆ ให้กับผู้ใช้ เช่น การจัดทำข่าวสารทันสมัย การหมุนเวียนวารสารบริการหนังสือสำรอง บริการถ่ายเอกสาร บริการทำบรรณนิทัศน์
9) จัดบริการตอบคำถามและช่วยค้นคว้าข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต


22 ธ.ค. 2554

อินเทอร์เน็ต(Internet) คืออะไร

อินเทอร์เน็ต (Internet) มาจากคำว่า Inter และ net 
1. อินเทอร์ (Inter) คือ ระหว่าง หรือท่ามกลาง 
2. เน็ต (Net) คือ เครือข่าย (Network)


อินเทอร์เน็ต (Internet) 
คือ เครือข่ายนานาชาติ ที่เกิดจากเครือข่ายเล็ก ๆ มากมาย รวมเป็นเครือข่ายเดียวกันทั้งโลก 
คือ เครือข่ายสื่อสาร ซึ่งเชื่อมโยงกันระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ที่ต้องการเข้ามาในเครือข่าย 
คือ การเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย 
คือ เครือข่ายของเครือข่าย


ข้อมูลจากหนังสือดี 
+ Internet starter kit (Adam C.Engst | Corwin S. Low | Michael A. Simon) 
+ เปิดโลกอินนเทอร์เน็ต (สมนึก คีรีโต | สุรศักดิ์ สงวนพงษ์ | สมชาย นำประเสริฐชัย) 
+ User's Basic Guide to the Internet (สำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยมหิดล) 
+ The ABCs of The Internet (Srisakdi Charmonman,Ph.D. ...)


ผังแสดงการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (Internet)

ประวัติความเป็นมา
อินเทอร์เน็ต คือ การเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันตามโครงการของอาร์ป้าเน็ต (ARPAnet=Advanced Research Projects Agency Network) เป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ (U.S.Department of Defense - DoD) ถูกก่อตั้งเมื่อประมาณ ปีค.ศ.1960(พ.ศ.2503) และได้ถูกพัฒนาเรื่อยมา

ค.ศ.1969(พ.ศ.2512) อาร์ป้าเน็ตได้รับทุนสนันสนุนจากหลายฝ่าย และเปลี่ยนชื่อเป็นดาป้าเน็ต (DARPANET=Defense Advanced Research Projects Agency Network) พร้อมเปลี่ยนแปลงนโยบาย และได้ทดลองการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์คนละชนิดจาก 4เครือข่ายเข้าหากันเป็นครั้งแรก คือ 
1)มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลองแองเจอลิส 2)สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด 3)มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาบาร่า และ4)มหาวิทยาลัยยูทาห์ เครือข่ายทดลองประสบความสำเร็จอย่างมาก ดังนั้นในปีค.ศ.1975(พ.ศ.2518)จึงได้เปลี่ยนจากเครือข่ายทดลอง เป็นเครือข่ายที่ใช้งานจริง ซึ่งดาป้าเน็ตได้โอนหน้าที่รับผิดชอบให้แก่หน่วยการสื่อสารของกองทัพสหรัฐ (Defense Communications Agency - ปัจจุบันคือ Defense Informations Systems Agency) แต่ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตมีคณะทำงานที่รับผิดชอบบริหารเครือข่ายโดยรวม เช่น ISOC (Internet Society)ดูแลวัตถุประสงค์หลัก,IAB(Internet Architecture Board) พิจารณาอนุมัติมาตรฐานใหม่ในอินเทอร์เน็ต, IETF (Internet Engineering Task Force) พัฒนามาตรฐานที่ใช้กับอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นการทำงานโดยอาสาสมัครทั้งสิ้น

ค.ศ.1983(พ.ศ.2526) ดาป้าเน็ตตัดสินใจนำ TCP/IP (Transmission Control Protocal/Internet Protocal) มาใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบ จึงเป็นมาตรฐานของวิธีการติดต่อ ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาจนถึงปัจจุบันเพราะ TCP/IP เป็นข้อกำหนดที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในโลกสื่อสารด้วยความเข้าใจบนมาตรฐานเดียวกัน

ค.ศ.1980(พ.ศ.2523) ดาป้าเน็ตได้มอบหน้าที่รับผิดชอบการดูแลระบบอินเทอร์เน็ตให้มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Science Foundation - NSF) ร่วมกับอีกหลายหน่วยงาน

ค.ศ.1986(พ.ศ.2529) เริ่มใช้การกำหนดโดเมนเนม (Domain Name) เป็นการสร้างฐานข้อมูลแบบกระจาย (Distribution Database) อยู่ในแต่ละเครือข่าย และให้ ISP(Internet Service Provider) ช่วยจัดทำฐานข้อมูลของตนเอง จึงไม่จำเป็นต้องมีฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์เหมือนแต่ก่อน เช่น การเรียกเว็บไซต์ www.yonok.ac.thจะไปที่ตรวจสอบว่ามีชื่อนี้ในเครื่องบริการโดเมนเนมหรือไม่ ถ้ามีก็จะตอบกับมาเป็นหมายเลขไอพี ถ้าไม่มีก็จะค้นหาจากเครื่องบริการโดเมนเนมที่ทำหน้าที่แปลชื่ออื่น สำหรับชื่อที่ลงท้ายด้วย .th มีเครื่องบริการที่ thnic.co.th ซึ่งมีฐานข้อมูลของโดเมนเนมที่ลงท้ายด้วย th ทั้งหมด

ค.ศ.1991(พ.ศ.2534) ทิม เบอร์เนอร์ส ลี (Tim Berners-Lee)แห่งศูนย์วิจัย CERNได้คิดค้นระบบไฮเปอร์เท็กซ์ขึ้น สามารถเปิดด้วย เว็บเบราวเซอร์ (Web Browser) ตัวแรกมีชื่อว่า WWW (World Wide Web) แต่เว็บไซต์ได้รับความนิยมอย่างจริงจัง เมื่อศูนย์วิจัย NCSA ของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์เออร์แบน่าแชมเปญจ์ สหรัฐอเมริกา ได้คิดโปรแกรม MOSAIC (โมเสค) โดย Marc Andreessen ซึ่งเป็นเว็บเบราว์เซอร์ระบบกราฟฟิก หลังจากนั้นทีมงานที่ทำโมเสคก็ได้ออกไปเปิดบริษัทเน็ตสเคป (Browser Timelines: Lynx 1993, Mosaic 1993, Netscape 1994, Opera 1994, IE 1995, Mac IE 1996, Mozilla 1999, Chimera 2002, Phoenix 2002, Camino 2003, Firebird 2003, Safari 2003, MyIE2 2003, Maxthon 2003, Firefox 2004, Seamonkey 2005, Netsurf 2007, Chrome 2008)
ในความเป็นจริงไม่มีใครเป็นเจ้าของอินเทอร์เน็ต และไม่มีใครมีสิทธิขาดแต่เพียงผู้เดียว ในการกำหนดมาตรฐานใหม่ ผู้ติดสิน ผู้เสนอ ผู้ทดสอบ ผู้กำหนดมาตรฐานก็คือผู้ใช้ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก ก่อนประกาศเป็นมาตรฐานต้องมีการทดลองใช้มาตรฐานเหล่านั้นก่อน ส่วนมาตรฐานเดิมที่เป็นพื้นฐานของระบบ เช่น TCP/IPหรือ Domain Nameก็จะยึดตามนั้นต่อไป เพราะอินเทอร์เน็ตเป็นระบบกระจายฐานข้อมูล การจะเปลี่ยนแปลงข้อมูลพื้นฐานอาจต้องใช้เวลา

บริการที่อินเทอร์เน็ตมีให้

1. Telnet หรือ SSH เครื่องมือพื้นฐานที่ใช้ติดต่อเครื่องบริการ (Server) เพื่อเข้าควบคุมการทำงานของเครื่องปิดเปิดบริการ รับส่งเมล ใช้พัฒนาโปรแกรม เป็นต้น โปรแกรมนี้มีมาพร้อมกับการติดตั้ง TCP/IP ผู้ใช้สามารถเรียกใช้จาก c:\windows\telnet.exe แต่การใช้งานเป็นแบบ Text Mode ที่ผู้ใช้ต้องเรียนรู้คำสั่งให้เข้าใจก่อนใช้งาน ในอดีตผู้ใช้มักใช้โปรแกรม Pineในเครื่องบริการสำหรับรับส่งอีเมลก่อนการใช้ POP3และ Web-Based จะแพร่หลาย โปรแกรม PINE ถูกพัฒนาโดยนักศึกษามหาวิทยาลัย WASHINGTON University
telnet.o
wikipedia.org       







2. อีเมล (e-mail หรือ Electronic Mail)   อีเมล คือ บริการกล่องจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ให้ผู้ใช้สามารถรับและส่งอีเมลในอินเทอร์เน็ต เพื่อประโยชน์ด้านการสื่อสารปัจจุบันบริการอีเมลผ่าน Web-Based Mail ได้รับความนิยมอย่างมากจึงมีหลายบริษัทเปิดให้บริการฟรีอีเมล เช่น hotmail.com, yahoo.com,thaimail.com, chaiyo.com, lampang.net, thaiall.com  บริการอีเมลที่ได้รับความนิยมมี 2 ประเภทคือ Web-Based Mail และ POP3 บริการแบบ POP3 นั้นผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดอีเมลจากเครื่องบริการเมลไปเก็บไว้ในเครื่องของตน จึงเปิดอ่านอีเมลเก่าได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เหมาะกับผู้ใช้ในสำนักงานที่มีเครื่องเป็นของตนเอง โปรแกรมที่ใช้เปิดอีเมลแบบ POP3 เช่น Outlook Express, Eudora หรือ Netscape Mail เป็นต้น 
+ www.thaiall.com/article/mail.htm

                                       

3. USENET News หรือ News Group   ในยุคแรกของอินเทอร์เน็ต มีผู้ใช้บริการ USENET อย่างแพร่หลาย เพราะเป็นแหล่งข้อมูลให้สืบค้นขนาดใหญ่ สามารถส่งคำถาม เข้าไปตอบคำถาม แสดงความคิดเห็น ทำให้เกิดสังคมของการแลกเปลี่ยนข่าวสาร ปัจจุบันมีการใช้งาน USENET น้อยลง เพราะผู้ใช้หันไปใช้เว็บบอร์ดซึ่งเข้าถึงได้ง่าย และเป็นที่แพร่หลายกว่า ปัจจุบันเชื่อว่าเยาวชนรู้จัก http://www.pantip.com มากกว่า news://soc.culture.thai
                   



4. FTP (File Transfer Protocal - บริการโอนย้ายข้อมูล) บริการนี้ สามารถใช้ download แฟ้มผ่าน browser ได้เพราะการ download คือ การคัดลอกโปรแกรมจาก server มาไว้ในเครื่องของตน แต่ถ้าจะ upload แฟ้ม ซึ่งหมายถึง การส่งแฟ้มจากเครื่องของตน เข้าไปเก็บใน server เช่นการปรับปรุง homepage ให้ทันสมัย ซึ่ง homepage ของตนถูกจัดเก็บใน server ที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่ง จะต้องใช้โปรแกรมอื่น เพื่อส่งแฟ้มเข้าไปใน server เช่นโปรแกรม cuteftp หรือ wsftp หรือ ftp ของ windowsการ download นั้นไม่ยาก หากผู้ให้บริการยอมให้ใครก็ได้เข้าไป download แฟ้มใน server ของตน และผู้ใช้บริการรู้ว่าแฟ้มที่ต้องการนั้นอยู่ที่ใด แต่การ upload มักไม่ง่าย เพราะต้องใช้โปรแกรมเป็น และมีความเป็นเจ้าของในเนื้อที่ที่จะกระทำ รวมทั้งมี userid และ password เพื่อแสดงสิทธิในการเข้าใช้บริการ การศึกษาการส่งแฟ้มเข้าไปใน server อาจต้องหา บทเรียน ftp มาอ่านเพื่อศึกษาวิธีการหรือหาอ่านได้จาก เว็บที่ให้บริการ upload แฟ้ม ซึ่งมักเขียนไว้ละเอียดดีอยู่แล้ว+ ipswitch.com (WS_FTP Client)
filezilla.sourceforge.net แนะนำโดย thaiopensource.org
www.thaiall.com/learn/useftp.htm